วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week5 : เรื่องราวที่นักเรียนสนใจ (เกาะวัวตาหลับ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง)

เกาะวัวตาหลับ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง

เป็นหนึ่งใน 42 เกาะของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จ.สุราษฎร์ธานี

      เกาะวัวตาหลับอยู่บริเวณอ่าวคา ด้านหน้าเกาะจะเป็นหาดทรายสีขาวเหมาะสำหรับการเล่นน้ำ และการนั่งชิวริมหาด

หมู่เกาะอ่างทอง

     มีจุดชมวิวที่สวย แต่จะต้องเดินขึ้นเขาไป 500 เมตร ระยะทางดูเหมือนจะใกล้ๆแต่ถ้าได้ลองไปสักครั้งในชีวิตจะรู้เลยว่ามันโหดแค่ไหน เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยหินลาดชัน ควรใส่รองเท้าที่เหมาะสำหรับการปีนป่าย แต่เมื่อขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของจุดชมวิวจะรู้สึกคุ้มค่ามากๆที่ขึ้นมา

     หมู่เกาะอ่างทอง
บริเวณหน้าเกาะ นั่งชิว ดูน้ำทะเลใสๆ


     จุดชมวิวของเกาะนี้มีทั้งหมด 4 จุด

จุดที่ 1 

หมู่เกาะอ่างทอง

เดินมาประมาณ 50 เมตรมองลงไปจะเห็นหาดสีขาวกับน้ำทะเลสีฟ้าใสที่สะท้อนกับแสงแดด

จุดที่ 2

หมู่เกาะอ่างทอง

ระยะทาง 150 เมตร กับวิวหมู่เกาะเรียงกันภายในหมู่เกาะอ่างทอง

จุดที่ 3 

หมู่เกาะอ่างทอง

ระยะทาง 350 เมตร จะเห็นชัดกว่าจุดที่2 เพราะสูงขึ้นมาอีก

จุดที่ 4

หมู่เกาะอ่างทอง

หมู่เกาะอ่างทอง

จุดนี้จะเป็นจุดสูงสุดที่ระยะทาง 500 เมตร ถือว่าคุ้มค่ากับการเดินขึ้นมาชมมากๆ

มาดูการเดินทางขึ้นจุดชมวิวกันดีกว่า 

หมู่เกาะอ่างทอง

หมู่เกาะอ่างทอง

ตรงนี้คือระยะทางที่จะขึ้นถึงจุดสูงสุด เป็นระยะทางใกล้ๆที่แสนจะมหาโหดมากๆ

หมู่เกาะอ่างทอง

หมู่เกาะอ่างทอง

จบจากหินนั้น ก็ต้องมาปีนต่อกับหินตรงนี้ ยิ่งถ้ามีแดดแรงๆ หินก็จะยิ่งร้อนมากๆ
ควรระมัดระวัง



   ประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆมากมาย ยิ่งทะเลไทยนี่สวยมากๆน้ำใสเหมือนกับน้ำในสระว่ายน้ำ ไหนจะมีปะการังใต้น้ำสวยๆให้ดู กิจกรรมตามเกาะต่างๆ เช่น พายเรือคายัค เล่นน้ำริมหาด และอื่นๆอีกมากมาย และเวลาเราไปเที่ยวแล้วเราต้องช่วยกันดูแลทรัพยากรธรรมชาติด้วย อย่าทิ้งขยะลงทะเล หรือทิ้งไว้ตามริมหาด ธรรมชาติที่สวยงามเราควรจะช่วยกันดูแลรักษาเอาไว้ ไม่ใช่ไปทำลายกันเอง เวลาชาวต่างชาติมาเที่ยวชม เขาก็จะนำไปบอกต่อๆว่าที่นี่สวยและสะอาด ผู้คนก็จะพากันมาเที่ยวเยอะๆ ทำให้เศรษฐกิจในประเทศดีขึ้นด้วย ช่วยกันดูแลคนละนิดคนละหน่อย เพียงเท่านี้ธรรมชาติที่สวยงามพวกนี้ก็จะอยู่กับเราตลอดไป 


อ้างอิง 
http://www.paiduaykan.com/76_province/south/suratthani/kohangtong.html

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week4 : โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ (Java)

โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ (Java)

     มนุษย์เราก็มีภาษาใช้ในการสื่อสาร เพื่อสื่อความหมาย รู้ถึงความรู้สึกต่างๆ ภาษาที่เราใช้สื่อสารกัน เช่น ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ฯลฯ  ในคอมพิวเตอร์ก็มีภาษาที่ใช้สั่งการต่างๆด้วย ซึ่งภาษานี้สามารถสั่งการ หรือควบคุมโปรแกรมของเครื่องจักรนี้ บอกก่อนเลยว่าไม่เคยรู้จักภาษาคอมพิวเตอร์เลย แม้แต่นิดเดียว เราจะมาทำความรู้จักกับเจ้าโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์นี้ไปพร้อมๆกัน  

   ภาษาคอมพิวเตอร์ คือ ภาษาที่เราใช้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์ หรือคอมพิวเตอร์ด้วยกัน แล้วคอมพิวเตอร์ก็สามารถทำตามคำสั่งนั้นได้ ส่วนมากเรียกว่า ภาษาโปรแกรม 

   เรามาทำความรู้จักกับ ภาษาจาวา(Java) กันดีกว่า ภาษาจาวาเป็นภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อใช้แทน ภาษาซีพลัสพลัส (C++) โดยรูปแบบที่เพิ่มเติมขึ้นคล้ายกับ ภาษาอ็อบเจกต์ทีฟซี (Objective-C) แต่เดิมภาษานี้เรียกว่า ภาษาโอ๊ก (Oak) ซึ่งตั้งชื่อตามต้นโอ๊กใกล้ที่ทำงานของ เจมส์ กอสลิง แต่ว่ามีปัญหาทางลิขสิทธิ์ จึงเปลี่ยนไปใช้ชื่อ "จาวา" ซึ่งเป็นชื่อกาแฟแทน 
ถึงแม้จะมีชื่อคล้ายกัน  แต่ภาษาจาวาไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับภาษาจาวาสคริปต์ (JavaScript) ปัจจุบันมาตรฐานของภาษาจาวาดูแลโดย Java Community Process ซึ่งเป็น กระบวนการอย่างเป็นทางการ ที่อนุญาตให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมกำหนดความสามารถในจาวาแพลตฟอร์มได้
จุดมุ่งหมายหลัก 4 ประการ ในการพัฒนาจาวา คือ
  1. ใช้ภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ
  2. ไม่ขึ้นกับแพลตฟอร์ม (สถาปัตยกรรม และ ระบบปฏิบัติการ)
  3. เหมาะกับการใช้ในระบบเครือข่าย พร้อมมีไลบรารีสนับสนุน
  4. เรียกใช้งานจากระยะไกลได้อย่างปลอดภัย

จาวาแพลตฟอร์ม และ ภาษาจาวา

เนื่องจากมีชื่อที่เหมือนกัน และการเรียกที่มักจะพูดถึงพร้อมกันบ่อยๆ ทำให้คนทั่วไป สับสนว่า ภาษาจาวา และ จาวาแพลตฟอร์ม เหมือนกัน 
ในความเป็นจริงนั้น ทั้งสองอย่าง ถึงจะทำงานเสริมกัน แต่ก็เป็นสิ่งที่แยกออกจากกัน 
โดย ภาษาจาวา คือ ภาษาสำหรับใช้เขียนโปรแกรมภาษาหนึ่ง ที่ได้อธิบายไป ส่วน จาวาแพลตฟอร์ม คือสภาพแวดล้อมสำหรับการใช้งานโปรแกรมจาวา โดยมีองค์ประกอบหลักคือจาวาเวอร์ชวลแมชีน (Java virtual machine) และ ไลบรารีมาตรฐานจาวา (Java standard library)
โปรแกรมที่ทำงานบนจาวาแพลตฟอร์มนั้น ไม่จำเป็นจะต้องสร้างด้วยภาษาจาวา เช่น อาจจะใช้ ภาษาไพทอน (Python) หรือ ภาษาอื่นๆก็ได้ 
ส่วนภาษาจาวานั้น ก็สามารถนำไปใช้พัฒนาโปรแกรมสำหรับแพลตฟอร์มอื่นได้เช่นเดียวกัน เช่น คอมไพเลอร์ gcj สามารถคอมไพล์โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาจาวา ให้ทำงานได้ โดยไม่ต้องใช้ จาวาเวอร์ชวลแมชีน 


 ลักษณะเด่นของ Java สามารถจำแนกได้หลัก ๆ ดังนี้

ทำงานอิสระ (Platform Independent)

            มีผู้กล่าวไว้ว่า Java เกิดมาเพื่อการทำงานบน WWW นั่นหมายความว่า Browser จะทำการ download โปรแกรมจาวาจาก server มาทำงานบนโดยตรงอยู่บนเครื่องของผู้เรียกเว็บเพ็จได้เลย โดยไม่คำนึงว่า ระบบปฏิบัติการของผู้ใช้ จะเป็นระบบเดียวกันกับ server ที่ใช้ compile จาวาหรือไม่

ความง่ายของตัวภาษา

            หลักไวยากรณ์ของ Java มีความคล้ายคลึงกับภาษา และ C++ เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่เหมือนกับภาษาใหม่อื่น ๆ ที่ต้องมาเริ่มศึกษาไวยากรณ์กันทั้งหมด อีกทั้งยังตัดความยากหรือความซับซ้อนต่าง ๆ ของภาษา C และ C++ ออกไป โดยใช้หลักการของ Object-Oriented Programming มาแทนที่มากขึ้น จึงทำให้การพัฒนาในเรื่องของหน้าจอ (Interface) ไม่ใช่เรื่องที่ยาก (จะเห็นจากการนำจาวามาพัฒนาในเรื่องของ Animation และ อื่น ๆ ซึ่งจะกล่าวในบทถัด ๆ ไป)

ความปลอดภัย (Security)

            นั่นคือ เมื่อต้องมีการถูก Download ไปใช้อยู่ในที่ต่าง ๆ ภาษาจาวาจึงมีการกำหนดข้อจำกัดบางอย่างขึ้น เพื่อไม่ให้การรันโปรแกรมนั้น ๆ ไปก่อให้เกิดความเสียหายบนเครื่องของผู้ใช้ได้ ดังนั้นจึงสามารถลืมบรรดา Hacker ทั้งหลายที่รักการเขียนโปรแกรมก่อกวนไปได้ในระดับหนึ่ง

Java เบื้องต้น


อ้างอิงข้อมูล 
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B2


วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 3 : Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย



Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ social network

     ในยุคนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก Social Network หรือจะเรียกว่า เป็นยุครุ่งเรืองแห่งSocial Network เลยก็ว่าได้ เพราะทุกวันนี้ผู้คนมักติดต่อสื่อสารกันผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค โซเชียลเน็ตเวิร์คคืออะไร??  Social Network คือ เครือข่ายสังคมออนไลน์  หรือการที่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตคนหนึ่ง เชื่อมโยงกับเพื่อนอีกนับสิบ รวมไปถึงเพื่อนของเพื่อนอีกนับร้อย  ผ่านผู้ให้บริการด้านโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) บนอินเตอร์เน็ต เช่น Facebook, Blogger, Hi5, Twitter หรือ Tagged เป็นต้น (บางเว็บไซต์ที่กล่าวถึงในตัวอย่าง ปัจจุบันนี้ได้เสื่อมความนิยมแล้ว)  การเชื่อมโยงดังกล่าว ทำให้เกิดเครือข่ายขึ้น เช่น เราสามารถรู้จักเพื่อนของเพื่อนเราได้  เป็นทอดๆ ต่อไปเรื่อย  ทำให้เกิดสังคมเสมือนจริงขึ้นมา  สามารถสร้างคอนเน็คชั่นใหม่ๆ ได้ง่าย  และเมื่อเราแชร์ (Share) ข้อความหรืออะไรก็ตามลงไปในเครือข่าย  ทุกคนในเครือข่ายก็สามารถรับรู้ได้พร้อมกัน  และสามารถตอบสนองต่อสิ่งที่เราแชร์ได้  เช่น  แสดงความคิดเห็น (Comment)  กดไลค์ (Like) ซึ่งอาจจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละผู้ให้บริการ  ความโดดเด่นในเรื่องความง่ายของโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ทำให้ธุรกิจ และนักการตลาดสนใจที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์สินค้า และบริการ 

                                                  ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เฟสบุ้ค

    Social Network ที่ฮอตฮิตในตอนนี้ก็คือ Facebook ซึ่งได้รับความนิยมมาก Facebook มีการกระจายข่าวสารข้อมูลอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว และแน่นอนข่าวสารที่กระจายไปนั้นมีทั้งข่าวจริงและไม่จริง ดังนั้นเราควรมีวิจารณญาณในการรับข่าวสารจากสื่อนี้ เพราะข้อมูลที่ถูกส่งๆต่อกันมาอาจจะบิดเบือนไปจากเดิม บางข่าวก็น่าเชื่อถือ บางข่าวก็ไม่น่าเชื่อถือ ควรแบ่งเวลาเล่นให้ถูกอย่าให้เสียการเรียนหรือเสียงาน เล่นแต่พอเหมาะไม่เยอะเกินไป โพสต์แต่ข้อมูลดีๆที่ไม่ไปกระทบกับบุคคลอื่น จะได้ไม่เกิดการทะเลาะกันผ่าน facebook วัยรุ่นสมัยนี้ชอบมีเรื่องกันเพราะโพสต์ด่ากันไปมา และพอมาเจอตัวจริงซึ่งกันและกันก็เงียบไม่เก่งเหมือนที่โพสต์ไว้เลยสักนิด มันไม่เป็นประโยชน์เลย แต่ถ้าเราใช้ไปในทางที่ดี มันก็จะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อเรา 


                                                   ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ twitter


     และ Social Network อีกอย่างก็คือ Twitter มีการกระจายข่าวสารต่อถึงกันโดยการรีทวิต(Retweet) ข้อมูลนั้นก็จะมาปรากฎบนหน้าทวีตของเรา และจะปรากฎให้คนที่ติดตามเราเห็นด้วย มีเรื่องอะไรดีๆสาระดีๆก็รีทวิตให้ดูกันได้ ส่วนใหญ่แล้ว ทวิตเตอร์จะมีไว้บ่น ถือว่าเป็นที่ระบายที่ดีเลยแหละ ไม่มีใครมาว่าเราหรือรำคาญเรา หรืออาจจะมี ข้อความที่ชอบรีทวิตกันส่วนใหญ่จะเป็นข้อความโดนๆกวนๆหรือสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ ของกินอร่อยๆ หรือแม้กระทั่งความรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษก็มี ถือว่าได้เล่นและได้ความรู้ไปในตัว ถ้าเราใช้มันให้เป็นประโยชน์ทุกอย่างมันก็ดีหมด

     Social Network มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ถ้าเราใช้มันไปในทางที่ดีมันก็ไม่ส่งผลอะไรให้เราหรอก และควรเล่นในเวลาที่เหมาะสมอย่าเสพติดข่าวสารในนี้มากเกินไปเพราะส่วนใหญ่ข่าวที่น่าเชื่อถือนั้นหาได้ยาก แต่ก็ไม่ผิดถ้าเราจะรู้เอาไว้บ้าง เล่นแชร์ข้อมูลดีๆข่าวสารสาระดีๆให้กัน และถ้าอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอาจสายตาเสียได้หรือบางคนอาจตาบอดได้  ถ้าหมกหมุ่นอยู่กับ social  network มากเกินไปอาจทำให้เสียการเรียนหรือผลการเรียนตกต่ำลงได้ จะทำให้เสียเวลาถ้าใช้อย่างไร้ประโยชน์ ใช้เป็นสื่อในการนำเสนอผลงานของตัวเอง เช่น งานเขียน รูปภาพ วีดิโอต่างๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้ามารับชมและแสดงความคิดเห็น ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือบริการลูกค้าสำหรับบริษัทและองค์กรต่างๆ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าช่วยสร้างผลงานและรายได้ให้แก่ผู้ใช้งาน เกิดการจ้างงานแบบใหม่ๆ ขึ้นคลายเคลียดได้ สำหรับคนที่ต้องการหาเพื่อนคุยเล่นสนุกๆ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีจากเพื่อนสู่เพื่อนได้



อ้างอิง :
http://www.thaigoodview.com/library/contest2553/type1/tech03/26/benefit.html







วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 2 : SHIRAKAWAGO หมู่บ้านโบราณ

SHIRAKAWAGO



 หมู่บ้านมรดกโลกชิราคาวาโกะและบริเวณโกคายาม่า ที่อยูู่ใกล้กันเป็นหมู่บ้านชาวนาที่ตั้งอยู่ในหุบเขา

ตามลำน้ำ Shogawa ตามแนวสันเขาที่ทอดยาวตั้งแต่จังหวัด Gifu ถึง Toyama ชิราคาวาโกะ ได้รับ

การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 1995 มีบ้านแบบกัสโชสึคุริ (Gassho-zukuri) 

เป็นบ้านชาวนาโบราณที่มีอายุมากกว่า 250 ปี



 บ้านในแบบกัสโชสึคุริ บ้านแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ชื่อนี้ได้มาจากคำว่า “กัสโช” ซึ่งแปลว่า “พนมมือ” ตามรูป

แบบของบ้านที่หลังคาชันถึง 60 องศา มีลักษณะคล้ายสองมือที่พนมเข้าหากัน ตัวบ้านมีความยาว

ประมาณ 18 เมตร และมีความกว้าง 10 เมตร ซึ่งมีโครงสร้างของบ้านสร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัว

เดียวอีกทั้งวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างต่างๆ ล้วนแต่มาจากวัสดุจากธรรมชาติทั้งสิ้น อย่างต้นหญ้าที่ปลูก

ไว้เพื่อนำมาใช้มุงเป็นหลังคาขนาดหนาแต่ยังคงความแข็งแรงสามารถรองรับหิมะที่ตกมาอย่างหนักใน

ช่วงฤดูหนาวได้เป็นอย่างดี



บรรยากาศทางเข้าก่อนขึ้นชมวิวหมู่บ้าน


อันนี้คือลำน้ำ Shogawa


  การเดินทาง สามารถใช้ทางด่วนที่เพิ่งสร้างเสร็จ ระหว่างชิราคาวาโกะ และฮิดะ-คิโยมิ ได้เปิดใช้อย่าง

เป็นทางการเมื่อวันที่ 6ก.ค.ที่ผ่านมา ผลที่ได้คือระยะเวลาในการเดินทางจากบริเวณด้านตะวันออกของ

ญี่ปุ่นสู่ชิราคาวาโกะจะลดลงระยะเวลาการเดินทางด้วยรถประจำทางระหว่างทาคายามา (Takayama) 

และชิราคาวาโกะ จาก 2 ชั่วโมง เหลือเพียง 50 นาที

      ส่วนการเดินทางด้วยรถประจำทาง (Nohi Bus) ผ่านทาคายามาจะให้บริการรถประจำทาง 8-9 คัน

ต่อวัน ระหว่างทาคายามาและ ชิราคาวาโกะ การเดินทางเที่ยวเดียวใช้เวลาประมาณ 50 นาที ราคา 

2,400 เยน สำหรับราคาค่าเดินทางแบบไปกลับ ราคา 4,300 เยนและไม่สามารถใช้บัตรโดยสาร Japan 

Rail Pass ได้




บรรยากาศช่วงปลายฤดูหนาวหิมะค่อยๆละลายไป




บ้านหลังเล็กๆน่ารักๆ




หมู่บ้านเหล่านี้ อยู่บนภูเขาในพื้นที่ห่างไกล บนพื้นที่ราบสูงฮิดะ (Hida) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดก

โลกในปี 1995 พื้นที่ของหมู่บ้านท่ามกลางหุบเขา และธรรมชาติของใบไม้ที่ผลิใบสีเขียวสดใสในฤดู

ใบไม้ผลิ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงในฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาวที่หมู่บ้านถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวหมดจด

ของหิมะ หมู่บ้านมีความเป็นมาและคงความเป็นอยู่ดังมนต์ขลังแห่งเทพนิยาย ลักษณะของบ้านที่สร้าง

ตามแบบเฉพาะนี้ (Gassho Style) มีหลังคาเป็นสามเหลี่ยมทรงสูงคล้ายลักษณะการพนมมือ เมื่อยามที่

สวดมนต์ โครงสร้างภายในจะเป็นหลายชั้น อาจเป็น 3 หรือ 4 ชั้น มีรายละเอียดพิถีพิถัน และมีลักษณะ

เฉพาะออกไปตามการใช้งาน และแสดงถึงความชาญฉลาดของผู้ปลูกสร้าง และอยู่อาศัย ภายในจะมีผ้า

ไหมที่รอปูรองไว้เพื่อให้ความอบอุ่นเมื่อยามหน้าหนาวมาเยือน ที่พื้นบ้านในชั้นแรกหลังคาที่มีมุม

ประมาณ 60 องศา เพื่อให้หิมะไหลได้ง่ายป้องกันการทับถมของหิมะในยามที่หิมะตกหนัก




อ้างอิง :
https://www.ilovetogo.com/Article/46/543/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%B0-%28Shirakawa-go%29
ภาพจาก : 3tongss.blogspot.com

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week1 ; เทคโนโลยีกับชีวิตประจำวันของนักเรียน

      
เทคโนโลยีกับชีวิตประจำวัน


     ในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีคือสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ไม่ว่าเราจะตื่น จะนอน หรือแม้กระทั่งตอนเราหลับ เทคโนโลยีก็มีความก้าวหน้าและพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ตอนตื่นเช้าไปโรงเรียนเราก็ต้องใช้นาฬิกาปลุก ตอนเราทำรายงานเราก็ต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และปริ้นเตอร์ ตอนเรารับประทานอาหารเราก็ใช้ไมโครเวฟอุ่นอาหาร และอีกหลายๆอย่างมากมาย พูดได้เลยว่าเทคโนโลยีคือปัจจัยหนึ่งของชีวิตไม่ว่าเราจะทำอะไรก็จะมีเทคโนโลยีมาช่วยอำนวยความสะดวกสบายแทบจะตลอด



     
     หลายๆคนคงจะสงสัยว่า "เทคโนโลยีคืออะไร?" เทคโนโลยี คือ สิ่งที่มนุษย์พัฒนาขึ้น เพื่อช่วยในการทำงานหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ เช่น อุปกรณ์, เครื่องมือ, เครื่องจักร, วัสดุ ซึ่งเทคโนโลยีสมัยนี้มีความก้าวหน้าและล้ำสมัยมากๆ อย่างเช่น สมาร์ทโฟน(smart phone) คงไม่มีใครไม่รู้จักสิ่งนี้ เพราะในชีวิตเราจำเป็นต้องใช้ติดต่อสื่อสารกับผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการโทรคุยกันหรือการส่งข้อความหากัน แต่ในปัจจุบันนี้ เรามี Social Network เป็นตัวกลางในการใช้ติดต่อสื่อสารกันด้วย เช่น Facebook, Line, Twitter, Instagram ฯลฯ 




     ในยุคสมัยของโซเชียลเน็ตเวิร์คนี้คงจะไม่มีใครไม่รู้จัก Facebook ซึ่ง Facebook ก็คือบริการบนอินเทอร์เน็ตที่ใช้ติดต่อสื่อสารกัน ไม่ว่าจะเป็นการโพสข้อความ โพสรูปภาพ โพสข่าวสารต่างๆ หรือติดต่อกันทาง Messenger ข้อดีของเฟสบุ้คนั้นมีมากมายหลายอย่าง ข้อเสียก็เช่นกัน วัยรุ่นสมัยนี้มักใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คในทางที่ผิด โพสหาเรื่องกันบ้าง โพสข่าวสารที่ไม่เป็นความจริงบ้าง ทำให้คนที่เห็นนั้นรู้สึกไม่ชอบและทำให้ทะเลาะกันในที่สุด 
     อีกแอพพลิเคชันหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ Line ซึ่งการติดต่อทางนี้จะสะดวกขึ้นมาอีก ไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อความคุยกัน โทรหากันก็ได้ หรือจะวีดีโอคอลหากัน วีดีโอคอลก็คือการติดต่อสื่อสารกันแบบเห็นหน้า สิ่งนี้จะดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้งาน 
     นอกจาก Social Network แล้ว สิ่งที่เรียกว่าเทคโนโลยีมีอะไรบ้างเรามาดูกัน ในชีวิตประจำวันของเราแค่ตื่นนอนเราก็ต้องพึ่งเทคโนโลยีแล้ว นั่นก็คือ นาฬิกาปลุก(clock) บางครั้งถ้าเราลืมสิ่งนี้อาจจะทำให้เราไปโรงเรียนสายหรือไปทำงานสายเลยก็ได้ เวลาเราทำรายงานเราก็ต้องพึ่งเทคโนโลยีที่เรียกว่า คอมพิวเตอร์(computer) เพื่อค้นคว้าหาข้อมูล ตอนรับประทานอาหารก็ต้องใช้ ไมโครเวฟ(microwave) เพื่ออุ่นอาหาร ตอนเราเบื่อๆเราก็นำ mp3 ขึ้นมาฟังเพลง แต่สมัยนี้ส่วนใหญ่ก็ดาวน์โหลดลงในสมาร์ทโฟน(smart phone)แล้ว มีตู้เย็น(refrigerator) ไว้แช่น้ำเย็น เก็บขนม และถนอมอาหารให้อยู่นานขึ้น มีเครื่องซักผ้า(washing machine) ช่วยอำนวยความสะดวก เราจะได้ไม่ต้องไปนั่งหลังขดหลังแข็งซักผ้ากองโตๆ มีโทรทัศน์(television)ไว้ดูแก้เหงา มีเครื่องปรับอากาศ(air-conditioner)ไว้คลายความร้อน  ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันของเราทั้งนั้น



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เทคโนโลยีในบ้าน

     
     อย่างไรก็ตามเราควรใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกแต่พอเหมาะพอควร และเทคโนโลยีการสื่อสารอย่าง Social Network ทั้งหลาย อย่าเล่นจนเสียการงานและการเรียน ควรจะเล่นในเวลาที่เหมาสม ควรแบ่งเวลาให้ถูกว่า ตอนไหนเวลาเรียน และตอนไหนคือเวลาเล่น ถ้าเราแบ่งเวลาได้ เทคโนโลยีพวกนี้จะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อเราเลย จะมีแต่ข้อดีให้เรา  ดัง นั้นจะเห็นว่าเทคโนโลยีนั้นเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับการดำรง ชีวิตของมนุษย์ตราบใดที่เรายังต้องพึ่งเทคโนโลยีอยู่ แต่ผลกระทบต่อมนุษย์ที่จะเกิดกับมนุษย์นั้นจะร้าย ดี มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับมนุษย์ซึ่งเป็นผู้ประดิษฐ์ คิด ทำ และนำเทคโนโลยีสารสารเทศมาใช้นั่นเอง


 อ้างอิง :
- https://poppygis.wordpress.com/
- http://www.dmc.tv/pages/top_of_week/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4Facebook-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%A3Facebook.html
- https://www.google.co.th/url?sa=i&rct=j&q=&esrc=s&source=images&cd=&cad=rja&uact=8&ved=0CAcQjRw&url=http%3A%2F%2Fwww.lpru.ac.th%2Fteacher_website%2Fkrison%2Ftec_com%2Ff3.html&ei=cSdvVbKhKMKXuASsq4CYCg&bvm=bv.94911696,d.c2E&psig=AFQjCNGKgFA78rh4HaDbaMKvknEz2fdG9Q&ust=1433433442793773